ยุคนี้ หนึ่งในตำแหน่งที่เป็นแรร์ไอเท็ม หายาก เพราะไม่ค่อยมีผลิตขึ้นมาก็คือพวกกองหน้าหมายเลข 9 เพชฌฆาตจอมปิดบัญชี
ด้วยสไตล์การเล่นของฟุตบอลที่เปลี่ยนไป กองหน้าที่โดดเด่นแค่เรื่องยิงประตูอย่างเดียว อาจไม่สามารถแจ้งเกิดได้ โดยเฉพาะกับทีมใหญ่ๆ ที่เน้นการมีส่วนร่วมของนักเตะในทุกๆ ตำแหน่งทั้งเกมรุกเกมรับ
อิตาลี เป็นอีกชาติที่ยกระดับของการเล่นขึ้นมาภายใต้ โรแบร์โต้ มันชินี่ แต่ก็ขาดตำแหน่ง "เบอร์ 9" กองหน้าระดับดาวยิงแท้จริง ในการฉกฉวยโอกาสที่สร้างมาได้
ชื่อของ ชิโร่ อิมโมบิเล่ และ อันเดรีย เบล็อตติ ไม่ใช่คำตอบยามรับใช้ชาติ
ผิดกับยุคหนึ่งที่อิตาลี มีกองหน้าตัวจบสกอร์เก่งๆ มากมาย เปาโล รอสซี่, จานลูก้า วิอัลลี่, ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี่, ปิแอร์ลุยจิ การิซากี้, ฟิลิปโป้ อินซากี้ และที่ต้องพูดถึงก็คือ คริสเตียน วิเอรี่
จริงๆ แล้วด้วยความสามารถทั้งทางพันธุกรรม และฝีเท้าของเขา "โบโบ้" ควรเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์อิตาลีได้เลย
เขามีรูปร่างที่ไม่ถึงสูงมาก (185 ซม.) แต่แข็งแรง ไว เล่นลูกกลางอากาศดีมาก จบสกอร์คม ถนัดซ้าย และที่สำคัญ เขาเป็นกองหน้าตัวเป้าที่มีทักษะ และเสต็ปเท้าที่ดี ผิดกับบทบาทและลักษณะภายนอกของเขา
วิเอรี่ เกิดที่โบโลนญ่า โดยมีคุณพ่อเป็นนักเตะอาชีพนาม โรแบร์โต้ วิเอรี่ เล่นให้โบโลนญ่า จากนั้นในปี 1977 ตอนที่ โบโบ้ อายุ 4 ขวบพ่อของเขาย้ายไปเล่นในซิดนี่ย์, ออสเตรเลีย ทำให้ครอบครัวต้องโยกย้ายตามไปด้วย
ตอนอยู่ที่ออสเตรเลีย เขาเล่นทั้งฟุตบอล และคริกเก็ต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ วิเอรี่ ฝันว่าอยากเล่นเป็นอาชีพ จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นแฟนคริกเก็ต
ในปี 1988 คริสเตียน วิเอรี่ ในวัย 14-15 ปี ก็ย้ายกลับอิตาลี และเริ่มเอาดีด้านการเป็นนักเตะแบบเต็มตัว
เขาเล่นให้ทีมเยาวชนปราโต้ ก่อนย้ายไปอยู่ โตริโน่ ในปี 1990 ขณะอายุ 17 ปี
คริสเตียน วิเอรี่ เล่นให้ชุดใหญ่โตริโน่ แค่ปีเดียว ก็ย้ายสู่ ปิซ่า และ ราเวนน่า ในเซเรีย บี
ซึ่งตอนเล่นให้ราเวนน่า นี่เองที่เขาเริ่มเป็นตัวหลักและยิงไป 12 ประตูจาก 32 นัด ด้วยวัย 20 ปี
มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเขาในฐานะ "ดาวยิงจอมเพนจร" นับจากนั้น
ปี 1994 เล่นให้เวเนเซีย ทำไป 11 ประตูจาก 29 นัดในปีนั้น และปีต่อมา 1995/96 ก็ได้มาเล่นในกัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรก เมื่อ อตาลันต้า คว้ามาร่วมทีม
ผลงาน 9 ประตูจาก 21 นัดกับอตาลันต้า ทำให้ในปีต่อมา ยูเวนตุส จ่ายถึง 2.5 ล้านยูโร เซ็นสัญญา โบโบ้ ไปร่วมทีม
ปี 1996/97 เขาไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวหลัก เพราะยูเว่ ขณะนั้นคือจุดสูงสุดของฟุตบอลอิตาลี มีนักเตะเก่งๆ มากมายในทีม ในแผนกกองหน้า
นอกจาก อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ "เด็กทองคำ" แล้ว ยังมี อเลน บ็อคซิช, นิโกล่า อโมรูโซ่ และ มิเคเล่ ปาโดวาโน่ ซึ่งเป็นตัวประสบการณ์
ช่วงครึ่งหลังของซีซั่นนั่นเอง บ็อคซิช และ เดล ปิเอโร่ ได้รับบาดเจ็บทำให้ วิเอรี่ ได้ลงสนามต่อเนืองและฉายแวว
เขายิง 10ประตูใน 16 นัดทุกรายการช่วงนั้น โดยเฉพาะการทำประตูในเกมรอบรองชนะเลิศ ชปล. กับ อาแจ็กซ์ ได้ทั้งเหย้า-เยือน ช่วยให้ยูเว่ ได้ผ่านเข้าไปป้องกันแชมป์ ชปล.
วิเอรี่ ยังทำ 2 ประตูให้ ยูเว่ ถล่ม เอซี มิลาน 6-1 ในเกมที่เขาเล่นงานกองหลังจอมเก๋าระดับตำนานอย่าง ฟรังโก้ บาเรซี่ จนหมดสภาพ ด้วยสเต็ปเท้า ความไว ความเฉียมคม และความแข็งแรงดุดัน
ฟอร์มของเขาทำให้ "ลา เรปูลิก้า" ตั้งฉายาเขาว่า "กระทิงหนุ่มผู้เริงระบำดุจผีเสื้อ"
สำหรับ ยูเวนตุส ในขณะนี้ คริสเตียน วิเอรี่ ไม่มีไว้ขายอย่างแน่นอน
ทว่าซัมเมอร์ 1997 ก็มาถึงทางแยกสำคัญอีกครั้ง โบโบ้ อายุ 24 ปี เล่นฟุตบอลอาชีพมาแล้ว 6 สโมสร เขาไม่เคยเล่นที่ไหนนานเกินกว่า 1 ฤดูกาลเลย
แอตเลติโก้ มาดริด ทีมที่เพิ่งจบอันดับ 5 ใน ลา ลีกา ก็อาจหาญเข้ามาติดต่อขอซื้อ วิเอรี่
ตอนแรกพวกเขายื่นข้อเสนอ 9 ล้านปอนด์ แล้วจึงตามด้วย 12.5 ล้านปอนด์ ซึ่งในเวลานั้นนับว่าสูงมากๆ (สถิติโลกปี 1997 คือ โรนัลโด้ R9 ย้ายจากบาร์ซ่าไปอินเตอร์ 19.5 ล้านปอนด์)
เวลาเดียวกันนั้นเอง ยูเว่ ก็เซ็นเอา ฟิลิปโป้ อินซากี้ เข้ามา เพื่อแทนที่ บ็อคซิช ที่ย้ายกลับลาซิโอ แต่พวกเขายังมี นิโกล่า อโมรูโซ่ ไว้เป็นสำรอง
ถึงตรงนี้ ยูเว่ มองว่า ข้อเสนอมันยั่วยวน ดังนั้นให้ วิเอรี่ ตัดสินใจเองว่าจะอยู่หรือไป
ปัญหาตอนนั้นคือ ยูเว่ บอกว่าพวกเขาให้ค่าจ้างวิเอรี่ ได้ไม่เกินปีละ 2 พันล้านลีร์ (สกุลเงินอิตาลี) ซึ่งเทียบได้ราวปีละ 1,200,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ แอตเลติโก้ มาดริด ให้ได้ถึง 3.5 พันล้านลีร์ (ราว 2,200,000 ดอลลาร์)
เมื่อเจอข้อเสนอที่แตกต่างกันแบบนี้ วิเอรี่ ตัดสินใจย้ายไปสเปนทันที
เขาสารภาพในภายหลังว่า ตอนนั้นการตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานของเงินล้วนๆ
เขาไม่ได้ไม่พอใจอะไรแอตเลติโก้ ที่นั่นมีความสุขมากๆ สำหรับเขา แต่หากย้อนเวลาไปได้ เขาจะไม่ย้ายออกจากตูริน เขาจะอยู่กับยูเวนตุส ต่อไป
ทว่าเวลาย้อนกลับไม่ได้
ในสีเสื้อตราหมี วิเอรี่ ระเบิดฟอร์มเป็นขวัญใจแฟนบอลได้ทันที 10 นัดแรกในทุกรายการ เขาทำไปถึง 12 ประตู
แต่แล้ว สิ่งที่จะทำให้อาชีพของเขาต้องเจอกับอุปสรรคไปตลอดกาล ก็มาถึง นั่นคืออาการเจ็บ
ในเดือนพฤศจิกายน วิเอรี่ เจ็บพักไปกว่าเดือน หายกลับมา เขาก็กลับมายิง แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 จูนินโญ่ เปาลิสต้า เพลย์เมกเกอร์ร่างเล็ก คนที่สนับสนุนเกมรุกได้ดีที่สุดของเขา ก็มาโดน มิเชล ซัลกาโด้ ซึ่งตอนนั้นยังเล่นให้ เซลต้า บีโก้ อัดจนเจ็บยาวพัก 6 เดือน
แม้ว่า วิเอรี่ จะยังยิงประตูได้ แต่เมื่อขาดคนทำเกมชั้นดี ฟอร์มของตราหมีก็เริ่มไม่นิ่ง บวกกับเกมรับที่ไม่ได้เป็นจุดแข็งอยู่แล้ว
ตราหมีเลยจบแค่อันดับ 7 ในลีก และแพ้ให้กับ ลาซิโอ ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ
อย่างไรก็ตามผลงานของ วิเอรี่ ก็ยังยอดเยี่ยม 24 ประตูจาก 24 นัดในลา ลีกา และ 29 ประตูจาก 32 นัดทุกรายการ เขาคว้ารางวัลดาวยิงลีก หรือ ปิชิชี่ โทรฟี่ มาครองได้ด้วย
จบฤดูกาลนั้น วิเอรี่ ก็ฉายแสงในสีเสื้ออิตาลี ในฟุตบอลโลก ฟร้องซ์ 98 เมื่อทำไป 5 ประตู
วิเอรี่ ตัดสินใจย้ายกลับอิตาลี อีกครั้ง หนนี้มาจอย ลาซิโอ ที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นมาตอนนั้น ทีมอินทรีกรุงโรม ทุ่มเงิน 17.5 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาจากทีมตราหมี เพื่อลงเล่นในฤดูกาล 1998/99
7 สโมสร ใน 7 ปี ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพแบบเต็มตัว มันคือการเดินทางอีกครั้ง
ผลงานของ วิเอรี่ กับลาซิโอ ถือว่าไม่เลวเลย แต่อาการเจ็บทำให้เขาเล่นได้แค่ 22 นัดในกัลโช่
อย่างไรก็ตามในปี 1999 ประธานมัสซิโม่ โมรัตติ ของอินเตอร์ มิลาน ก็ตัดสินใจทุ่มเงินเป็นสถิติโลก 32 ล้านปอนด์เพื่อดึงตัว โบโบ้ จากลาซิโอ มาอยู่กับทีมงูใหญ่
อินเตอร์ เป็นสโมสรเดียวแบบจริงๆ จังๆ ที่เขาเล่นให้เกิน 1 ฤดูกาล เพราะเขาเล่นให้กับทีมงูใหญ่นานถึง 6 ปีด้วยกัน
ทั้งที่ร่างกายเจอกับอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดเส้นทางเหล่านี้ แต่ 6 ปีกับอินเตอร์ โบโบ้ ก็ทำไปถึง 103 ประตูในกัลโช่ จากการลงเล่นเพียง 143 นัด
เรียกว่าเมื่อไหร่เขาฟิตลงสนาม แฟนบอลสามารถคาดหวังประตูจากเขาได้เสมอ
น่าเสียดายที่หลังจากนั้นในปี 2005 โบโบ้ เกิดเจ็บหนักอีกครั้ง และมันมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาพลาดการเป็นหนึ่งในขุนพลอัซซูร์รี่ ของ มาร์เชโล่ ลิปปี้ ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ท้ายที่สุด อิตาลี คว้าแชมป์โลกมาครองได้ด้วย
แม้จะมีไลฟ์สไตล์ที่หวือหวา โดนมองว่าเจ้าชู้ และชื่นชอบการเที่ยว แต่เมื่อทำหน้าที่นักฟุตบอล วิเอรี่ เอาจริงเอาจัง ทุ่มเท 120% ทุกนัดถ้าได้ลงสนาม
โดยเฉพาะยามรับใช้ชาติ โบโบ้ ไม่เคยยอมให้เพื่อนร่วมทีมคนไหนทุ่มน้อยกว่า 100% เพราะตัวเขาเองก็พร้อมแลกเลือดเพื่อตราที่หน้าอกเสื้อได้เสมอ
อาการบาดเจ็บในช่วงเวลานั้น กับอายุที่เริ่มมากขึ้น ทำให้ คริสเตียน วิเอรี่ เริ่มถึงคราวโรยราอย่างแท้จริง
แม้จะย้ายไปมิลาน, โมนาโก กลับไปที่ อตาลันต้า ก็แทบไม่ได้ลงเล่น
มีเพียงปี 2007/08 ด้วยวัย 34 ปีที่ โบโบ้ ลงเล่นให้ ฟิออเรนติน่า มากถึง 26 นัด แต่สภาพเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว เขายิงได้แค่ 6 ประตูเท่านั้น
วิเอรี่ กลับมาแขวนสตั๊ดกับ อตาลันต้า ในปี 2008/09 ในปีสุดท้ายลงเล่น 9 นัดทำ 2 ประตู เป็นการปิดฉากอาชีพการค้าแข้งของเขาลง
ตลอดเส้นทางอาชีพ คริสเตียน วิเอรี่ คว้าแชมป์รวมกันเพียงแค่ 7 รายการ
สำหรับนักเตะทั่วไป มันก็ถือว่าเยอะมากแล้ว แต่สำหรับ คริสเตียน วิเอรี่ และคุณภาพฝีเท้าอย่างเขา มันน้อยเกินไปจริงๆ
หากไม่ใช่เรื่องของอาการเจ็บที่มักเข้ามารบกวนเขาแทบทุกปี และการตัดสินใจย้ายทีมแทบทุกปี คริสเตียน วิเอรี่ จะยิ่งใหญ่กว่านี้มาก
เพราะหากว่ากันที่ฝีเท้าและพรสวรรค์ รวมถึงความทุ่มเทแล้ว เขาคือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่อิตาลี เคยมีมาเลยทีเดียว
รับชมคลิปของ "โบโบ้" กันได้เลยที่ :: http://ow.ly/oMQ730sobG6
เว็บกีฬาที่ดีกว่า ชัวร์กว่า ครบเครื่องเรื่องเดิมพันกว่าทุกเว็บ โปรโมชั่นดีๆ ต้องที่ MYSBOBET เพิ่มเพื่อนกันไปได้เลยที่ https://line.me/R/ti/p/@my-sb99 หรือ 08-0003-1188 / 08-0003-117