วินาทีที่ อดิศักดิ์ ไกรษร ซัดจุดโทษเหินข้ามคานนั้น หัวใจคนไทยทั้งประเทศแทบหล่นไปที่ตาตุ่ม จากที่กำลังจะได้ฉลองเข้าชิงอย่างสะใจ เพราะเป็นชัยชนะที่กระชากอารมณ์อย่างยิ่ง กลายเป็นว่าน้ำตาต้องอาบนองสองแก้มด้วยความเศร้าแทน ในฐานะที่ทำให้สวรรค์แฟนบอลไทยล่มต่อหน้าต่อตา "เจ้ากอล์ฟ" น่าจะรู้สึกแย่กว่าใครทั้งหมด ภาพที่เขาทิ้งตัวลง เอาหน้าซุกกับพื้นสนามแบบหมดอาลัยตายอยาก มันย่อมสะท้อนได้เป็นอย่างดี แม้จะได้รับการปลอบอกปลอบใจจากเพื่อนร่วมทีม แต่มันคงเป็นค่ำคืนที่ช่างทรมานมาก คงยากที่จะข่มตาให้หลับแบบสนิทได้ ในสมองคงคิดเรื่องต่างๆ ตีกันวุ่นไปหมด ฟุตบอลเล่นเป็นทีมก็จริง แต่ถึงที่สุดแล้วมันก็ต้องมีต้นตอของความผิดพลาด ซึ่งเบื้องต้นคงหนีไม่พ้นดาวยิงเจ้าของสมญา AK9 อย่างไรก็ตามหากเราพลิกกลับมองอีกด้าน อดิศักดิ์ ต้องมีความกล้าหาญมากๆ ถึงจะเดินเอาบอลไปวางที่จุด 12 หลาแล้วจัดการยิงเอง ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์เช่นนี้มันบีบคั้นกดดันอย่างหนัก นี่คือทดเวลาบาดเจ็บและหากซัดเข้าไปตั๋วนัดชิงชนะเลิศซูซูกิ คัพจะอยู่ในมือทันที พูดตามตรงไม่มีใครอยากอาสาสังหารจุดโทษอย่างนี้หรอก อาจจะใช่ที่ว่า "เจ้ากอล์ฟ" คือคนที่ได้รับมอบหมาย แต่หากเขาไม่มั่นใจสามารถโยนไปให้มือปืนลำดับสองที่ถูกวางไว้ทำหน้าที่แทนได้ เหมือนอย่างในนัดชิงฟุตบอลโลก 1990 โลธาร์ มัทเธอุส คือเบอร์ 1 หาก เยอรมันตะวันตก (ในเวลานั้น) ได้จุดโทษ แต่ถึงเวลาสำคัญที่ต้องส่องชี้ชะตากลับปฏิเสธ อ้างว่าสตั๊ดมีปัญหา แล้วให้ อันเดรียส เบรห์เม่ มือสองรับหน้าที่ไป โชคดีไม่พลาดและกลายเป็นประตูชัยเข่น อาร์เจนตินา คว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ แต่ อดิศักดิ์ ตัดสินใจเลือกยิงเอง ทั้งที่ข้างในอาจจะเต็มไปด้วยความกดดันและไม่เชื่อมั่นสักเท่าไรนัก การยิงจุดโทษพลาดในเกมฟุตบอลไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ยิ่งในสถานการณ์ไคลแมกซ์อย่างนี้ มันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ โรแบร์โต้ บาจโจ้ ยังซัดบอลข้ามคานไปไกลแบบสุดกู่ในการยิงจุดโทษตัดสินนัดชิงชนะเลิศเวิล์ด คัพ 1994 ที่อิตาลีดวลกับบราซิล มาร์ติน ปาแลร์โม เคยกดจุดโทษพลาด 3 หนติดต่อกันในเกมเดียว ระหว่างช่วยอาร์เจนตินาลงทำศึกโกปา อเมริกากับโคลอมเบียในปี 1999 นี่คือแข้งระดับโลกทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับนักเตะแถบอาเซียน มันจึงไม่ใช่ความผิดของ อดิศักดิ์ เลยสักนิดเดียว ยกเว้นในสายตาบางคนที่พยายามจะต้องหาแพะรับบาปให้ได้ มันมีอยู่แล้วที่จะต้องโบ้ยความผิดมาให้หัวหอก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ตามประสาคนที่ผิดหวังไม่ได้ดั่งใจและคิดง่ายๆ ว่าพลาดอย่างนี้ต้องไล่บี้คนยิงนี่แหล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นจะโทษใครเล่า? "ใครไม่อาย แต่ผมอาย" ประโยคนี้ว่อนโซเชี่ยลไปหมดในวันที่ทีมชาติไทยพ่ายยับต่อญี่ปุ่น 0-4 เกมคัดบอลโลกเมื่อต้นปีที่แล้ว จนกลายเป็นทีมแรกที่ตกรอบแบ่งกลุ่มในเลกที่สอง ว่ากันว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นคนพูดออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างมาก แต่ถ้าเอาแบบเวอร์ชั่นเต็มๆ ที่เคยเปิดใจไว้ก็จะประมาณพารากราฟข้างล่าง “ส่วนตัวผมชื่นชอบโค้ชซิโก้เรื่องความมีระเบียบวินัย ซึ่งนี่คือสิ่งที่โค้ชทุกคนควรจะมี แต่ขณะเดียวกันในเรื่องผลงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง" “แต่ว่าคำถามที่ว่าควรเปลี่ยนโค้ชหรือไม่นั้น ผมอยากรู้หัวใจคนไทยเหมือนกันว่าคิดอย่างไร คิดเหมือนผมมั้ย ถ้าบอกว่าอยู่แบบนี้ ได้แชมป์ซูซูกิ คัพ, แชมป์ซีเกมส์ แต่รับได้ที่แพ้ทีมในระดับเอเชีย 0-3, 0-4 ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับผมบอกเลยว่าอาย” “ถ้าให้ผมงอมืองอเท้า ปล่อยให้ ทีมชาติไทย เป็นแบบนี้ไปอีก 3 ปี ในขณะที่ผมเป็นนายกสมาคมฯอยู่ ผมลาออกดีกว่า ถ้าเป็นแล้วทำทีมไม่ได้ อย่าเป็น ให้คนอื่นเขาเป็น” ประมุขลูกหนังไทยกล่าวไว้ด้วยน้ำเสียงเข้ม แสดงท่าทีขึงขังในความล้มเหลว ภายใต้การนำทัพของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นั่นหมายความว่าแชมป์ซีเกมส์หรือซูซูกิ คัพที่ "ซิโก้" เคยพาทีมครองแชมป์มาก่อนนั้น ไม่อยู่ในสายตาท่านนายกฯเลยสักนิดเดียว เพราะเป้าหมายคือต้องก้าวขึ้นมาเป็นชาติแถวหน้าในเอเชียให้ได้ หลังจากนั้นราว 2 เดือน เกียรติศักดิ์ แสดงสปิริตตัดสินใจลากออก ท่ามกลางความเสียดายของแฟนบอลไทยไม่น้อย แต่ก็มีบางส่วนที่เห็นว่าควรจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงบ้าง แน่นอนการมาของ มิโลวาน ราเยวัช สร้างความฮือฮาได้พอสมควร อย่างน้อยที่สุดปูมหลังที่เคยพา กานา หักด่านถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ก่อนตกอย่างน่าเสียดาย ด้วยมือ หลุยส์ ซัวเรซ น่าจะพอรับประกันฝีมือได้ ไม่นับรางวัลส่วนตัวอย่างกุนซือยอดเยี่ยมแห่งปีของเซอร์เบียและแอฟริกาที่พ่วงเป็นดีกรีมาด้วย อย่างไรก็ตามยิ่งนานวันเข้าเราได้เห็นแนวทางการทำทีมของ ราเยวัช ซึ่งเน้นความรัดกุม เล่นเกมรับมากเกินกว่าจำเป็น ไม่เอนเตอร์เทนเร้าใจ ต่างไปจากตอนที่ ซิโก้ ยังกุมบังเหียน ทำบอลได้สนุกบุกเข้าไป แม้ดวลกับทีมที่แกร่งกว่าก็เปิดหน้าแลกอย่างไม่มีกลัว จนได้ใจกองเชียร์อย่างมาก ประเด็นสำคัญกว่าก็คือหากเล่นเกมรับแล้วประสบความสำเร็จ คงไม่มีใครว่าหรอก สไตล์เน้นผลชัวร์ๆ ก็เป็นที่นิยมไม่น้อยเหมือนกัน แต่นี่มัน "ไม่ชัวร์" อย่างที่ควรจะเป็น น่าเบื่อแล้วยังแพ้ ย่อมสะท้อนได้ถึงความล้มเหลวแบบหมดสภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ทีมชาติไทยชุดใหญ่เท่านั้น ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปีที่เคยใช้ โซรัน ยานโควิช ทีมงานของ ราเยวัช คุมมาก่อนก็จอดป้ายไม่เป็นท่าแค่รอบแรกในศึกชิงแชมป์เอเชีย จากนั้นไปดึง "โค้ชโย่ง" วรวุฒิ ศรีมะฆะ มารับบทแทนก็ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเลย มีแต่ทรุดลงเรื่อยๆ เมื่อตกรอบแรกเอเชี่ยนเกมส์ครั้งแรกในรอบ 24 ปี ขณะเดียวกันการเลือกทีมงานของเอคโคโนมาดูแลและพัฒนาด้านเยาวชนช้างศึกในชุดต่างๆ ก็พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าล้มเหลวไม่แตกต่างจากชุดพี่ๆ ไล่ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 15 ปี , 19 ปี และ 21 ปี สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนทั้งกระบิ หลังตกรอบแรกเอเชี่ยนเกมส์มีเพียงแค่ 2 คะแนน พล.ต.อ.สมยศ กลับบอกว่าไม่รู้สึกอายอะไร แถมยังยืนยันด้วยว่าทีมงานชุดนี้ทำหน้าที่ได้ดีกว่าของนายกสมาคมคนก่อนซะอีก นอกจากนี้ยังอ้างว่าเป้าหมายหลักคือความสำเร็จในฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งไทยจะต้องมีโอกาสทำได้อย่างแน่นอน ทีนี้หันกลับมาดูเที่ยวล่าสุดในซูซูกิ คัพกันบ้าง รายการนี้ไม่ใช่หรือที่ "บิ๊กอ๊อด" เคยพูดไว้เองว่า เราจะมัวมาหลงระเริงกับความสำเร็จย่านอาเซียนได้อย่างไร มันต้องมองไกลไปถึงความเป็นเต้ยระดับทวีปเอเชียแล้ว ที่น่าเศร้าใจกว่าคือ ตกรอบแบบไม่เห็นอนาคตอะไรเลย โดยเฉพาะสไตล์การเล่นที่ทำลายความเป็นตัวตนของลูกหนังทีมชาติไทยมาตลอด ลำพังข้ออ้างขาด 4 แข้งตัวกลั่นที่ไปเล่นในต่างแดนทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธิ์ , ธีรศิลป์ แดงดา , ธีราทร บุญมาทัน และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ไม่น่าจะฟังขึ้นเท่าไรนัก เพราะนักเตะที่เหลือก็มีคุณภาพไม่น้อย แต่ก็อีกนั่นแหล่ะถึงเวลาจริง ก็ต้องมีการนำมาเป็นข้อแก้ต่างอย่างที่รู้กัน ประมุขลูกหนังเคยบอกเอาไว้ตอนได้รับเลือกให้เข้ามาบริหารว่า ต้องการพัฒนาบอลไทยให้รุดไปข้างหน้า ไม่อยากให้อยู่ในวังวนเดิมๆ อีกต่อไป ผลประโยชน์ทุกอย่างจะเพื่อวงการบอลไทยเท่านั้น จะไม่นำพรรคพวกหรือเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด คำพูดมันง่าย ต่างจากการลงมือทำจริงๆ ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ใครหลายคนก็รู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องเอาความขัดแย้งกับอีกขั้วอีกฝั่งมาอ้างหรอก วัดกันที่ผลงานเพียวๆ ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันน่าผิดหวังแค่ไหน ถ้าความล้มเหลวในเกมระดับชาติเช่นนี้มันเกี่ยวโยงกับการบริหารด้วยแล้ว หมายความว่าสมาคมฟุตบอลฯ ก็ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มๆ ที่สำคัญคือในวันที่บอลแพ้ คุณซึ่งเป็นนายกฯแท้ๆ ยังกล้าออกมาพูดว่ารู้สึกอาย เพียงเพื่อจะยัดเยียดความเกลียดชังให้กับกุนซือที่เชื่อว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเอง แทนที่จะให้กำลังใจ แล้วพูดคุยกันหาทางแก้ไขให้ดีขึ้น แต่นี่กดดันจนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง คนเรามันอายกันได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่อายในสิ่งที่ควรอายดีกว่า อย่างเช่นตกรอบซูซูกิ คัพเที่ยวนี้แหล่ะที่น่าอายของจริง แต่ใครจะอาย ไม่อาย.... รับรองเว็บไซต์นี้ก็ยังคงไม่เมินหนีคุณไปไหนกับ Sbobet777 ที่มีพร้อมทุกอย่างรวมถึงข้อเสนอเด็ดมากมาย บริการรวดเร็วทันใจ ติดต่อเลยที่ https://line.me/R/ti/p/@777sbo หรือ 08-44-9990 77, 88 , 99