ปรัชญาแห่งความสำเร็จในการเป็นผู้จัดการทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีหลายข้อด้วยกันหนึ่งในนั้นเลยคือสร้างความกลมเกลียวเป็นปึกแผ่นให้กับทีม ซึ่งนักเตะต้องสามัคคีรักใคร่กันแต่ เฟอร์กี้ ก็ออกตัวไว้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ "ทุกคน" เป็นอย่างนั้นความอิจฉาริษยา เกลียดขี้หน้า ไม่ชอบนิสัยเป็นการส่วนตัว เหล่านี้คือปมสำคัญที่ทำให้เกิดความชิงชังกันในทีม ซึ่งไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนอยากให้เป็น เพราะมันย่อมส่งแรงกระเพื่อมไปยังผลงานในสนามด้วยอย่างไรก็ตามเรื่องของความรู้สึกมันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ บางทีเกลียดกันโดยไม่ต้องมีเหตุผลมารองรับด้วยซ้ำเหมือนอย่างเคสของ แอนดี้ โคล กับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม สองศูนย์หน้ายุคเฟื่องที่ เฟอร์กี้ ก็รู้ดีคู่นี้ไม่กินเส้นกัน เขม่นเป็นประจำ แต่เขาต้องพยายามหาวิธีการที่จะทำให้เล่นด้วยกันได้และไม่ใช่เล่นด้วยกันได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเล่นด้วยกันได้ดีด้วย...------------------บิดเข็มนาฬิกาไปยังปี 1995 แอนดี้ โคล ซึ่งย้ายมายัง แมนฯยูไนเต็ด ได้ไม่เท่าไร ถูกเรียกเข้าสู่ทำเนียบทีมชาติอังกฤษครั้งแรก ก่อนได้ประเดิมสนามในฐานะตัวสำรองเกมอุ่นแข้งกับอุรุกวัย"คิง โคล" ที่นั่งอยู่ข้างสนาม เนื้อเต้นระริกเมื่อ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ สั่งให้เขาถอดเสื้อวอร์มออกแล้วไปยืนรอหลังเส้นสีขาวพอรู้ว่าจะได้แทน เชอริงแฮม ก็ขยับตัวเตรียมพร้อมจะสัมผัสมือ ในใจคิดว่าเดี๋ยวกองหน้ารุ่นพี่จะต้องอวยพรให้เขาโชคดีแน่กับเกมเปิดซิงสิงโตคำรามที่ไหนได้อย่าว่าแต่จับมือเลย เชอรี่ ไม่แม้แต่จะมองหน้า เดินดุ่ยๆ ออกจากสนามราวกับว่าไม่มีใครมาลงแทนด้วยซ้ำโคล ไม่ได้เกลียด เชอริงแฮม เลย แต่เมื่อถูกปฎิบัติเช่นนี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดอาการเหม็นขี้หน้าขึ้นมาทันที ครั้งต่อไปเจอกันอีกอย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นรอยยิ้มหรือยินเสียงทักกันแต่ใครจะไปคิดว่าฤดูร้อนปี 1997 เชอริงแฮม จะย้ายมา แมนฯยูไนเต็ด ตามแผนงานของ เฟอร์กี้ ที่ต้องการดึงมาแทนส่วนที่พร่องหายไปของ เอริก คันโตน่าพอรู้ข่าวเข้า โคล ตกใจไม่น้อย เพราะจากที่เป็นแค่เพื่อนร่วมทีมกันชั่วคราวเมื่อรับใช้ชาติ นี่ต้องมาสังกัดสโมสรเดียวกัน เจอหน้ากันแทบทุกวัน มันจะเป็นอย่างไรจริงๆ แล้วตอน โคล ย้ายมาใหม่ๆ สื่อก็ไปเสี้ยมละเลงข่าวกันอย่างสนุกว่าไม่ถูกกับ คันโตน่า ทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างเป็นคนเงียบขรึม ยิ้มยาก พูดน้อย แล้วต้องมาประสานงานกันในแนวรุก คนก็เลยพูดกันไปเองถึงปฎิสัมพันธ์ของทั้งคู่ส่วน เชอริงแฮม นั้นคนละเรื่อง ไม่ชอบขี้หน้ากันเป็นทุนจากวันนั้นและพอมาเล่นด้วยกันก็ไม่ลงรอยกันอีกโคล เล่าให้ฟังเพิ่มว่าตอนปี 1998 ในเกมเจอกับ โบลตัน ซึ่งกำลังกระเสือกกระสนหนีตกชั้น แล้วเป็นฝ่ายโดนทีมท้ายตารางยิงนำก่อน จากนั้นเขาพลาดโอกาสทองยิงตีเสมอ เชอริงแฮม ก็เลยหันมาตวาดลั่น ประมาณว่ามันความผิดของแกเว้ยนำความไม่พอใจมาสู่ โคล อย่างมาก เพราะเชื่อว่าตัวเองเต็มที่แล้ว ทุกครั้งที่ก้าวลงในสนามจะใส่แบบเต็มสูบไม่มีเม้ม ทำไมต้องมาตำหนิกันต่อหน้าคนอื่น ของอย่างนี้มันก็ย่อมพลาดกันได้ตอนนั้น โคล คิดในใจว่าสงสัยจะอยู่ร่วมทีมกันไม่ได้แล้วแต่ใครจะไปคิดว่า 4 ฤดูกาลที่สองคนนี้ได้ลงเล่นร่วมกันในสนามยิงเบ็ดเสร็จรวมถึง 54 ประตู อีกทั้งยังเป็นแกนหลักผลักดันผงาดทริปเปิ้ลแชมป์ประวัติศาสตร์ในปี 1999 อีกต่างหากแกรี่ พัลลิสเตอร์ ปราการหลังร่างโย่งเพื่อนร่วมทีม แมนฯยูไนเต็ด ในเวลานั้น ยังเดินเข้ามาถามแบบสงสัยเคลือบแคลงใจเลยว่า นายสองคนไม่ถูกกันแล้วทำไมผลงานถึงได้ดีขนาดนี้ เมื่อเล่นด้วยกันเรื่องนี้มันมีเบื้องหลังอยู่...-------------------------เฟอร์กี้ เล่าไว้ให้ฟังผ่านหนังสือ Leading ซึ่งเกี่ยวกับการจัดการบริหารในบทบาทกุนซือของตน โดยมีอยู่ตอนที่บอกถึงความเป็นมืออาชีพ ซึ่งนักเตะทุกคนในความดูแลของเขาห้ามมองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาดเดิม เฟอร์กี้ ระแคะระคายมาแล้วว่า โคล กับ เชอริงแฮม ไม่ลงรอยกัน มีรอยร้าวในความสัมพันธ์มานาน แต่เขาไม่สนเรื่องส่วนตัว เพราะเข้าใจดีเรื่องแบบนี้ สมัยเป็นผู้เล่นก็เคยผ่านมาก่อนจะเหม็นขี้หน้ากันแค่ไหน ก็เชิญเลย มันเรื่องของพวกแก แต่อย่าเอาไปปะปนกับงานในสนามกระทั่งวันหนึ่งระหว่างจบเกมครึ่งแรก นักเตะปีศาจแดงทยอยเดินเข้าห้องแต่งตัว โคล กับ เชอรี่ เดินตีคู่กันมาต่างฝ่ายต่างถกเถียงกันอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง โทษกันไปมา เหมือนเด็กไม่ยอมโตเฟอร์กี้ เห็นเหตุการณ์พอดี หลังจบเกมเลยเรียกสองคนนี้ไปที่ห้องทำงาน ก่อนจะว้ากใส่ไปว่า หากแกทั้งคู่ยังเป็นอย่างนี้อีก จะขายทิ้งให้หมดเรื่องหมดราว โดยเฉพาะถ้ากระทบกับผลงานในสนามกิตติศัพท์อย่างหนึ่งของ เฟอร์กี้ คือไม่เคยขู่ ที่พูดมานั้นคือเรื่องจริง เตือนแล้วไม่ฟังจะต้องโดนเล่นอย่างที่บอกไว้แน่ตั้งแต่นั้นมาสองคนนี้ก็ไม่ทะเลาะกันให้เจ้านายเห็นอีก ในขณะที่การผนึกกำลังกันบนฟลอร์หญ้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆจากที่แทบไร้สัมพันธ์กันในสนาม ก็เริ่มมีให้เห็นประปราย อย่างน้อยเมื่อ โคล ซัลโวประตูได้ เชอริงแฮม ก็วิ่งไปแสดงความยินดีด้วยหลายคนที่รู้มาก่อนต่างแปลกใจที่เห็นทั้งคู่กอดกันกลม ราวกับว่าไม่เคยบาดหมางกันภายหลังสองคนนี้มีโอกาสได้เจอกันบังเอิญในผับ โคล เห็น เชองริงแฮม นั่งอยู่จึงเดินไปเขย่ามือทักทาย คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธอีกต่อไป แถมยังสิ่งยิ้มให้กันอีกต่างหากแม้ว่าจะจับมือกันช้าไป แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสายเกินอย่างน้อยทั้งคู่ก็ได้เคลียร์กันในระดับหนึ่ง ไม่ต้องมาค้างคาใจกันอีกส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับ เฟอร์กี้ กับคำพูดประโยคเดียวว่า "ถ้าแกสองคนยังเป็นอย่างนี้ จะโดนขายทิ้ง!"---------------------------คำพูดของ เฟอร์กี้ ดูเหมือนง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงศักดิ์สิทธ์ได้ขนาดนี้ด้วยวิธีการปกครองของเขากับลูกทีมนั้น อาจดูโบร่ำโบราณไม่เหมือนใคร แต่มักได้ผลที่น่าพอใจอยู่เสมอทุกคนถึงลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า นักเตะคนไหนที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เป็นซูเปอร์สตาร์ แต่หากได้เป็นลูกน้อง เฟอร์กี้ แล้ว รับรองจะถูกจัดการให้อยู่ในกรอบ ไม่มีแตกแถวเกเรเด็ดขาดเพราะถ้าใครหืออือ คือเตือนแล้วไม่ทำตาม จะโดนขับออกจากทีมทันทีแบบไม่มีประนีประนอม นั่นคือแนวทางที่ชัดเจนมาตลอดและมันมักจะแสดงให้เห็นว่าได้ผลอยู่เสมอพอล แม็คกรัธ , นอร์แมน ไวด์ไซด์ , กอร์ดอน สตรั๊คคั่น , พอล อินซ์ , เดวิด เบ็คแฮม หรือ รอย คีน ล้วนแต่คือตัวอย่างของการโดนโละออกไป โดยไม่สนใจชื่อเสียงหรือฝีเท้าเฟอร์กี้ เชื่อว่าสิ่งสำคัญของผู้จัดการทีมคือต้องควบคุมทุกอย่างให้ได้ ห้ามสูญเสียไปอย่างเด็ดขาด ยิ่งกับนักเตะด้วยแล้ว คุณต้องกล้าพอที่จะสั่งเข้มเด็ดขาดในเมื่อมีอำนาจอยู่กับตัวไม่มีใครอยากเจอ "ไดร์เป่าผม" อันลือลั่นสะท้อนยุทธจักรลูกหนังหรอกสมญานามแฮร์ไดร์เออร์หรือไดร์เป่าผมนี่ มาร์ค ฮิวจ์ส เป็นคนตั้งให้ ขนาดที่คนที่ห้าวหาญระห่ำเต็มสูบ ไม่มีเกรงใครหน้าไหน แต่เมื่อเจอ เฟอร์กี้ ก็ยังต้องยอมลงให้นั่นจึงธรรมดามากที่ โคล กับ เชอริงแฮม ถึงกับหงอไม่กล้าทะเลาะกันอีกต่อไป หลังเจอตวาดทีเดียวแต่จริงๆแล้วมันไม่ง่ายเลยที่จะทำได้อย่างนี้ นอกจากต้องมีบุคลิกที่แข็งกร้าว ไม่กลัวใคร ไม่ไร้เหตุผลแล้ว คุณยังต้องสั่งสมบารมีชื่อเสียง ให้คนอื่นนับถือยอมรับด้วยกว่า เฟอร์กี้ จะผ่านมายังจุดนี้ได้ ต้องเจอสถานการณ์ล่อแหลมสาหัสมามาก เจียนอยู่เจียนไปหลายรอบ มีบาดแผลที่ได้รับจากสองข้างทางมากมายแค่พูดออกมาคำเดียวแล้วทำให้คนสองคนที่เต็มไปด้วยอีโก้ยอมเชื่อง่ายๆคุณจะต้องเป็น "ยอดคน" อย่าง เฟอร์กี้ เท่านั้นแหล่ะ...ความเคารพมันบังคับเอาจากกันไม่ได้ มันต้องพิชิตเอง Sbobet777 ไม่เคยบังคับ อยากเล่นก็เข้ามา ติดต่อมาเลยที่ https://line.me/R/ti/p/@777sbo หรือ 08-44-9990 77, 88 , 99